วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต ปี 2539
การเมืองไทยสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ. 2776 - 2301
โดย เทพมนตรี ลิมปพยอม
ดาวน์โหลดได้ที่ https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:118890
บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาวิเคราะห์ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง บทบาทอำนาจทางการเมืองของกลุ่มการเมืองต่าง ๆ เช่น กลุ่มขุนนาง กลุ่มเชื้อพระวงศ์ ตลอดจนปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศระหว่าง พ.ศ. 2276-2301/ค.ศ. 1733-1758 ซึ่งจะทำให้เสถียรภาพทางการเมืองภายในรัชกาลนี้ขาดความมั่นคง อันจะส่งผลไปถึงการเมืองภายในสองรัชกาลสุดท้ายของอยุธยาอันได้แก่ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรและสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ
ในการวิจัยดังกล่าว ผู้วิจัยได้ใช้เอกสารหลักฐานทั้งของไทย ชาวต่างประเทศ ซึ่งเป็นเอกสารที่ร่วมสมัยอยุธยาและเอกสารที่ถูกเขียนขึ้นในภายหลัง นอกจากนี้ได้ทำการประเมินเอกสารหลักฐานต่าง ๆ มาประกอบการพรรณนาวิเคราะห์ตีความตามลำดับเหตุการณ์ก่อนและหลังซึ่งรวมไปถึงเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ผลของการศึกษาพบว่าในตอนต้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ได้รับความช่วยเหลือจากขุนนางสำคัญ ๆ เช่น เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ในการปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ทำให้ขุนนางได้รับสิทธิพิเศษจนมีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงทรงดำเนินนโยบาย “ถ่วงดุจอำนาจ” ของขุนนางด้วยการแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิดระดับพระโอรสขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น “กรมเจ้า” หลายพระองค์เพื่อใช้เป็นฐานอำนาจทางการเมืองของพระองค์ในการระวังป้องกันไม่ให้ขุนนางมีอำนาจมากจนทำให้ฐานะของพระองค์สั่นคลอนได้ นโยบายดังกล่าวเป็นผลดีในระยะแรกของการครองราชย์ บ้านเมืองจึงมีความเป็นปกติสุขดี ทำให้มีการฟื้นฟูงานทางด้านศิลปวิทยาการต่าง ๆ โดยเฉพาะการทนุบำรุงพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามเป็นจำนวนมาก
นโยบายการถ่วงดุจอำนาจดังกล่าวนี้ทำได้แค่ช่วงระยะแรกของรัชกาลเพราะเมื่อกลุ่มขุนนางเริ่มมีบทบาทและอำนาจน้อยลงภายหลังจากเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว ทำให้กลุ่มเชื้อพระวงศ์ระดับพระโอรสเริ่มแสดงบทบาทและพลังอำนาจทางการเมืองออกมาอย่างชัดเจน ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของพระราชโอรสด้วยกันเองโดยเฉพาะกลุ่มเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์และกลุ่มของเจ้าสามกรม (กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นจิตรสุนทร และกรมหมื่นเสนภักดี) ทั้งนี้มีผลมาจากนโยบายการถ่วงดุจระหว่างขุนนางกับเชื้อพระวงศ์นั่นเองซึ่งกลายเป็นผลเสียกับพระองค์โดยตรง เพราะการให้อำนาจกรมเจ้ามากเกินไปได้ส่งผลให้ในเวลาต่อมาพระโอรสองค์สำคัญคือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ได้ก่อการกบถได้ ทำให้เสถียรภาพทางการเมืองตอนปลายรัชกาลของพระองค์เริ่มที่จะสั่นคลอน จนกลายเป็นปัญหาสืบเนื่องต่อไปถึงสองรัชกาลสุดท้ายคือรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรและสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ที่มีกลุ่มการเมืองระดับเดียวกันขึ้นมาท้าทายอำนาจ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ “ราชสมบัติ” ส่วนบทบาทและอำนาจขุนนางที่มีมาแต่เดิมน้อยลงไปกลายเป็นส่วนสนับสนุนหรือแนวร่วมของกลุ่มการเมืองเชื้อพระวงศ์มากกว่าที่จะอยู่ในฐานะต่อรองอำนาจได้อีกต่อไป ประกอบกับความสับสนทางด้านการเมืองที่สองรัชกาลสุดท้ายต่างขึ้นมาครองราชย์องค์ละ 2 ครั้งนั่น เป็นเหตุให้ขุนนางไม่สามารถมีอำนาจได้อย่างเต็มที่ เสถียรภาพของการเมืองภายในราชสำนักตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเจน จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อยุธยาต้องล่มสลายลงไนปี พ.ศ. 2310
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมสมัยอยุธยาตอนปลายมีผลกระทบต่อแนวนโยบายทางการเมืองของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อสภาพเศรษฐกิจมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งการค้าภายในและต่างประเทศ ได้สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่หันมาทำการค้า ประสิทธิภาพของการเข้าไปดูแลจัดผลประโยชน์ทางด้านการค้าที่ต้องอาศัยระบบผูกขาดสินค้านั้นเป็นจุดอ่อนสำคัญไม่สามารถดูแลควบคุมได้อย่างทั่วถึง ทำให้ผลประโยชน์ตกอยู่ในมือของขุนนางตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง (เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์) ประกอบกับการปรับเปลี่ยนสายการบังคับบัญชาควบคุมการดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ ซึ่งแต่เดิมตำแหน่งสมุหพระกลาโหมเป็นผู้ควบคุมดูแลนั้นได้ถูกโอนย้ายไปอยู่ในความดูแลของกลุ่มเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ ทำให้เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์มีอำนาจทั้งทางด้านเศรษฐกิจและกำลังคนเพิ่มขึ้น
เมื่อสภาพเศรษฐกิจการค้าในรัชกาลนี้มีความเจริญมากขึ้นทำให้การผูกขาดสินค้าต้องห้ามบางชนิดมีความละหลวม เช่น อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ตกอยู่ในมือขุนนางและเชื้อพระวงศ์ จนสามารถทำให้เสถียรภาพทางการเมื่อตอนปลายรัชกาลสั่นคลอนลงไปอย่างเห็นได้ชัด เช่น กรณีการที่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์สั่งซื้ออาวุธปืนมาเก็บไว้ที่พระราชวังของพระองค์ได้เป็นต้น
สภาพสังคมสมัยอยุธยาตอนปลายโดยเฉพาะรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศการควบคุมกำลังคนไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ ขุนนางและเชื้อพระวงศ์มักสะสมไพร่พลไว้อยู่ในกรมกองเพื่อผลประโยชน์ของตนมากกว่าประโยชน์ของรัฐ อันเป็นผลมาจากการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไซ้นโยบายการถ่วงดุจอำนาจขุนนางและเชื่อพระวงศ์
ปัญหาด้านการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ของบาดหลวงชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาทำการเผยแพร่ในกรุงศรีอยุธยา ได้สร้างความหวาดระแวงให้กับพระสงฆ์ ขุนนาง'เชื้อพระวงศ์ตลอดจนพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระและสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จนต้องมีมาตรการเด็ดขาดเข้าไปควบคุมดูแล ส่งผลให้ขุนนางและเชื้อพระวงศ์บางกลุ่ม เช่น ชุนนางในตำแหน่ง เจ้าพระยาพระคลัง และเชื่อพระวงศ์ในตำแหน่ง สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ โดยหวังผลประโยชน์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและฐานอำนาจทางการเมือง โดยเฉพาะรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจะมีความขัดแย้งทางเรื่องศาสนาอย่างรุนแรงที่สุด
ในตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีผู้เปรียบเปรยสภาพของกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียแก่พม่าครั้งสุดท้ายว่า “ครั้งบ้านเมืองดี” ซึ่งหมายถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกคนั้นสามารถสรุปได้ว่า “ครั้งบ้านเมืองดี” ในรัชกาลนี้ ดีในด้านเศรษฐกิจการค้าและศิลปวัฒนธรรมเท่านั้น ส่วนทางด้านสังคม การเมืองอยู่ในสภาพตกต่ำและบราศจากเสถียรภาพ