สารนิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต ปี 2540
ยุทธวิธีการขยายอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงสงครามจีนและญี่ปุ่น ค.ศ. 1931-1945
โดย ศักดิ์ศรี พิณทอง
ดาวน์โหลดได้ที่ https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:118691

บทคัดย่อ

         การศึกษาเรื่อง ยุทธวิธีการขยายอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในช่วงสงครามจีนและญี่ปุ่น ค.ศ. 1931-1945 นี้ มีความมุ่งหมายที่จะศึกษาถึงยุทธวิธีการขยายอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วง ค.ศ. 1931-1945 ซึ่งเป็นช่วงที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสร้างความพร้อมของพรรคสำหรับการรุกทางยุทธศาสตร์ทางการทหารครั้งใหญ่หลังปี ค.ศ. 1945 ซึ่งมีผลต่อชัยชนะในปี ค.ศ. 1949 โดยมีรากฐานมาจากอุดมการณ์ลัทธิมาร์กซ-เลนิน ซึ่งปรับให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมจีน
         ระหว่าง ค.ศ. 1921-1931 การเป็นแนวร่วมครั้งแรกกับพรรคก๊กมินตั้ง ทำให้แกนนำสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เรียนรู้ระบบกลไกทางการเมืองและจุดอ่อนของพรรคก๊กมินตั้ง จนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการต่อสู้ทางการเมืองภายหลังได้ดี การที่เจียงไคเชคปราบคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรงทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แยกออกไปสร้างฐานที่มั่นทั้งในเมืองและชนบท เพื่อชิงอำนาจทางการเมืองกับรัฐบาลก๊กมินตั้ง สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่างเชื่อฟังนโยบายของพรรคอย่างเป็นเอกภาพ มีการควบคุมอุดมการณ์ทางการเมือง และใช้อุดมการณ์ของพรรคในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ พรรคคอมมิวนิสต์ได้จัดตั้งกองทัพแดงติดอาวุธ สร้างแนวร่วมกับกรรมกรและชาวนา โดยใช้การปฏิรูปที่ดินดึงดูดใจชาวนายากจนให้เข้ามาสนับสนุนพรรคอย่างได้ผลดี
         ระหว่าง ค.ศ. 1931-1936 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดตั้งระบบโซเวียตขึ้นที่มลฑลเจียงซี เพื่อเป็นศูนย์กลางการปฏิวัติในระบบพึ่งพาตนเอง โดยมีชาวนาเป็นกำลังหลักในการปฏิวัติ ใช้นโยบายชนบทล้อมเมือง โดยทำสงครามจรยุทธและทำการรบอย่างยืดเชื้อ ในปี ค.ศ. 1931 ขณะที่เจียงไคเชคล้อมปราบคอมมิวนิสต์อยู่นั้น ญี่ปุ่นได้บุกเข้าโจมตียึดแมนจูเรียโดย รัฐบาลก๊กมินตั้งมิได้ต่อต้านแต่อย่างใด คงดำเนินการล้อมปราบคอมมิวนิสต์ต่อไป เจียงไคเชคยึดหลักการว่าคอมมิวนิสต์คือศัตรูหลัก ส่วนญี่ปุ่นคือศัตรูรอง ใน ค.ศ. 1932 ศูนย์การนำพรรคในเมืองได้ยุบไปรวมกับโซเวียตเจียงซี แต่ไม่ยอมรับการเป็นผู้นำของเหมาเจ๋อตง การล้อมปราบใน ค.ศ. 1933-1934 นั้น เจียงไคเชคปิดล้อมทั้งทางทหารและทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง ในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทิ้งฐานที่มั่นมณฑลเจียงซีออกเดินทัพทางไกล ค.ศ. 1934-1935 เพื่อหนีการล้อมปราบครั้งนี้ เหมาเจ๋อตงได้รับการยอมรับความเป็นผู้นำ และเป็นผู้นำกองทัพเดินทัพต่อไปถึงปลายทางและจัดตั้งฐานที่มั่นใหม่ขึ้นที่มณฑลส่านซี
         ระหว่าง ค.ศ. 1937-1945 ญี่ปุ่นก่อกรณีสะพานมาร์โคโปโลและขยายการรุกรานกว้างออกไปในแผ่นดิน เป็นเหตุให้เจียงไคเชคต้องยอมรับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นแนวร่วมทำให้เกิดแนวร่วมครั้งที่ 2 ขึ้น รัฐบาลก๊กมินตั้งต่อต้านญี่ปุ่นโดยมีสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรเข้ามาช่วยเหลือ ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อต้านญี่ปุ่นในภาคเหนือในระบบพึ่งพาตนเอง เมื่อชนะข้าศึกก็จะยึดยุทธปัจจัยที่ได้ไว้ทำการรบต่อไป
         พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้สถานการณ์สงครามต่อต้านญี่ปุ่นเป็นข้ออ้างในการขยายเขตยึดครอง แล้วจัดตั้งระบบโซเวียต ขยายแนวร่วมและเผยแพร่ลัทธิมาร์กซ-เลนินทุกพื้นที่ที่กองทัพคอมมิวนิสต์ผ่านไปอย่างกว้างขวาง พรรคอมมิวนิสต์จีนใช้ลัทธิชาตินิยมในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อปลุกเร้าให้คนจีนรักชาติ และเข้ามาร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อต้านญี่ปุ่นอย่างได้ผลเกินความคาดหมาย นอกจากนี้ชาวจีนโพ้นทะเลได้ส่งเงินและวัตถุปัจจัยเข้ามาช่วยสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อด้านญี่ปุ่นในสงครามครั้งนี้ด้วย เมื่อสงครามยุติพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เข้าไปปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นแทนสหภาพโซเวียตและได้ยุทธปัจจัยจำนวนมหาศาลไว้เป็นเครื่องมือทำสงครามช่วงชิงอำนาจทางการเมืองกับรัฐบาลก๊กมินตั้งต่อไป