วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต ปี 2542
บันทึกเรื่องผู้หญิงในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย
โดย จิรานุช โสภา
ดาวน์โหลดได้ที่ https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:117808
บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ มุ่งศึกษาเรื่องบันทึกเรื่องผู้หญิงในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยแบบจารีตเดิม คือ จารึก ตำนาน และพระราชพงศาวดาร และประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยสมัยใหม่ ซึ่งเป็นจารีตการเขียนประวัติศาสตร์ ที่ได้รับอิทธิพลการเขียนจากโลกตะวันตก ดังที่ปรากฏอยู่ในการเขียนประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน
จากการศึกษาพบว่าการบันทึกเรื่องผู้หญิงในประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบจารีตเดิม คือ จารึก ตำนาน และพระราชพงศาวดาร มีหลากหลายเรื่องราวและบทบาท กล่าวคือ ในจารึกจะบันทึกเรื่องของผู้หญิงระดับผู้ปกครอง ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับศาสนามากที่สุด ในฐานะผู้นำในการประกอบบุญในพิธีกรรมต่าง ๆ ในตำนานจะบันทึกเรื่องของผู้หญิงระดับผู้ปกครองที่มีบทบาทการเมืองและศาสนา โดยบทบาททางการเมืองโดยตรงก็คือ การมีส่วนร่วมในการบริหารราชการบทบาทโดยอ้อม ก็คือ การมีส่วนสร้างสัมพันธ์ทางเครือญาติ ส่วนบทบาททางศาสนาก็ยังเป็นเรื่องการทำบุญในรูปแบบต่าง ๆ สำหรับในพระราชพงศาวดารทั้งของกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์จะบันทึกเรื่องของผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับทางการเมืองมากที่สุด ทั้งบทบาทด้านการบริหารราชการการมีส่วนสร้างสัมพันธ์ทางเครือญาติ ในกลุ่มผู้ปกครองด้วยกันและกับผู้ปกครองต่างเมือง ต่างวงศ์และการมีบทบาทในราชการสงคราม ซึ่งมีบันทึกเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระสุริโยทัย ท้าวเทพสตรี ท้าวศรีสุนทร และท้าวสุรนารี นอกจากนี้แล้ว ในประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบจารีตทั้งหมด ยังบันทึกถึงบทบาทของผู้หญิง ทางด้านเศรษฐกิจ ขนบธรรมเนียมประเพณี พระราชพิธี และบทบาทด้านความเป็นเพศหญิงไว้ด้วย
ส่วนบันทึกเรื่องผู้หญิงในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยสมัยใหม่ จะแปรเปลี่ยนไปจากเดิม โดยให้ความสำคัญในการบันทึกเฉพาะบทบาทของผู้หญิงในด้านการสงคราม ในขณะที่บทบาทด้านอื่นลดความสำคัญลงไป และเป็นผู้หญิงที่มีเค้าเรื่องจากพระราชพงศาวดาร นั่นก็คือ บทบาทในด้านการสงครามของผู้หญิงทั้ง 4 ท่านดังที่กล่าวมาแล้ว จะได้รับการบันทึกและถ่ายทอดมาในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงในแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ก็ได้บรรจุเรื่องราวเหล่านี้เพื่อให้เยาวชนได้ศึกษา ในประวัติศาสตร์นิพนธ์สมัยใหม่ยังได้ยกย่องผู้หญิงทั้ง 4 ท่านเป็น “วีรสตรี” อันเป็นที่มาของการสร้างอนุสาวรีย์ของผู้หญิงทั้ง 4 ท่าน ดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน