วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต ปี 2542
ความสำคัญของรังนกต่อเศรษฐกิจในภาคใต้ของประเทศไทย (พ.ศ. 2310-2482)
โดย รัชดาพร ศรีภิบาล
ดาวน์โหลดได้ที่ https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:102805
บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาถึงความสำคัญของรังนกต่อเศรษฐกิจในภาคใต้ของประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2310-2482 มีการศึกษาตั้งแต่ผลิตผลรังนกเป็นทรัพยากรธรรมชาติ จนกลายมาเป็นสินค้าส่งออกของภาคใต้ โดยมีคนในพื้นที่ภาคใต้เข้าไปรวบรวมผลิตผลรังนก มีผู้ประกอบการลงทุนเข้าไปลงทุนทำอากรรังนกและดำเนินธุรกิจการค้ารังนก และมีรัฐเข้าไปจัดเก็บเงินอากรรังนก อีกต่อหนึ่ง
จากการศึกษาพบว่าผลิตผลรังนกเป็นสินค้าป่าของภาคใต้ ซึ่งถูกส่งออกไปค้ายังตลาดรับซื้อชาวจีนมานานแล้ว โดยรายได้จากการค้ารังนกได้กระจายไปอยู่กับผู้รวบรวมผลิตผลรังนก ผู้ประกอบการลงทุน และรัฐ ในระยะแรก ๆ นั้น คนในพื้นที่ภาคใต้ได้เข้าไปรวบรวมผลิตผลรังนกมาค้าขายเอง รัฐไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับรายได้แต่อย่างใด จนกระทั่งรัฐที่กรุงธนบุรี และกรุงเทพฯ เริ่มเห็นความสำคัญของรายได้จากการค้ารังนก และพยายามที่จะดึงรายได้ส่วนนี้เข้ามา แต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ เพราะประสบปัญหาด้านการจัดการปกครองหัวเมืองภาคใต้ ดังนั้นระหว่าง พ.ศ. 2310-2434 รัฐจึงใช้วิธีดึงรายได้จากการค้ารังนกผ่านทางเจ้าเมืองในหัวเมืองภาคใต้และผู้ประกอบการลงทุนท้องถิ่น ด้วยการให้สิทธิ์จัดทำผลิตผลรังนก โดยเจ้าเมืองและนายทุนต้องแบ่งรายได้จากการค้ารังนกบางส่วนให้กับรัฐ ระหว่าง พ.ศ. 2435-2482 ปรากฏว่ารัฐได้ดึงรายได้จากการค้ารังนกเข้ามาอย่างเต็มที่ โดยผ่านระบบการประมูลอากรรังนก ผู้ที่เข้ามาจัดทำผลิตผลรังนก มีหน้าที่ต้องส่งเงินอากรรังนกให้กับรัฐตามจำนวนเงินที่ได้ประมูลไว้ ส่วนรัฐจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจค้ารังนกเลย ผู้จัดทำผลิตผลรังนก ซึ่งก็คือผู้ประกอบการลงทุน ต้องดูแลตั้งแต่การรวบรวมผลิตผลรังนก การขนส่งสินค้ารังนก และคอยติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดรับซื้อและราคาสินค้ารังนกภายนอกประเทศอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสองประการหลังนี้คือตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้ผู้ประกอบการลงทุนได้กำไรและขาดทุน เพราะรายได้จากการค้ารังนก มาจากการค้ากับตลาดรับซื้อ สินค้ารังนกภายนอกประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดรับซื้อสินค้ารังนกที่เมืองจีนและฮ่องกง ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นกับตลาดทั้งสองแห่งนี้ จะมีผลกระทบต่อการส่งออก สินค้ารังนกของภาคใต้เสมอ นอกจากจะต้องให้เงินอากรรังนกกับรัฐแล้ว ผู้ประกอบการลงทุนยังต้องแบ่งรายได้จากการค้ารังนกมาให้กับผู้รวบรวมผลิตผลรังนก เป็นค่าจ้างที่มารวบรวมผลิตผลรังนกให้ด้วย ซึ่งการให้เงินค่าจ้างแก่ผู้รวบรวมผลิตผลรังนก เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่รัฐอนุญาตให้ผู้ประกอบการลงทุนเข้ามาจัดทำผลิตผลรังนก
กล่าวได้ว่า รายได้จากการค้ารังนกที่กระจายไปอยู่กับผู้รวบรวมผลิตผลรังนก ผู้ประกอบการลงทุน และรัฐนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐเป็นผู้ที่ได้รับรายได้จากการค้ารังนกอย่างง่ายดายที่สุด เนื่องจากไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ในขณะที่ผู้ประกอบการลงทุนจะได้รับรายได้จากการค้ารังนก ก็ต่อเมื่อเข้ามาลงทุนและจัดทำผลิตผลรังนก ส่วนผู้รวบรวมผลิตผลรังนกคือผู้ที่ได้รับรายได้น้อยที่สุด โดยจะได้รับรายได้เฉพาะในช่วงที่รวบรวมผลิตผลรังนกให้กับผู้ประกอบการลงทุนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รายได้จากการค้ารังนกนี้ได้ช่วยนำเงินตราเข้ามาสู่พื้นที่ภาคใต้ได้เป็นจำนวนไม่น้อย โดยเงินตราเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของภาคใต้มีการหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ