วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต ปี 2542
การกำหนดอายุเวลาของสถูปในวัดจามเทวี จังหวัดลำพูน : การศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ศิลปะ
โดย สุพินดา เจียรพิพัฒน์
ดาวน์โหลดได้ที่ https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:117813
บทคัดย่อ
การศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา เป็นการศึกษาเพื่อกำหนดอายุเวลาและจำแนกรูปแบบสกุลช่างของโบราณวัตถุสถาน วิธีการศึกษาได้แก่ การนำโบราณวัตถุสถานไปสัมพันธ์กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น จารึกตำนาน พงศาวคาร เป็นต้น แล้วกำหนดอายุเวลาตามข้อความที่ปรากฏในเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้น ๆ โดยปราศจากการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อความและความน่าเชื่อถือของเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่นำมาใช้ ตลอดจนไม่ได้มีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรกับโบราณวัตถุสถานที่นำมาศึกษาว่ามีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ รวมไปถึงการกำหนดรูปแบบหรือสกุลช่างของศิลปะก็ใช้เป็นชื่ออาณาจักร ซึ่งการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดความสับสนว่ารูปแบบของศิลปะหนึ่ง ๆ กับยุคสมัยทางประวัติศาสตร์เริ่มและจบลงพร้อมกันซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ มีงานสร้างสรรค์ทางศิลปะหลายสกุลช่างหลายฝีมือช่างและมีการผสมผสานกันระหว่างสกุลช่าง จึงทำให้แบบของศิลปะนั้นมีความหลากหลาย ทั้งนี้การที่ ยอร์จ เซเดส์ (George Coedes) กำหนดชื่อแบบของศิลปะเป็นชื่ออาณาจักรนั้น ก็เนื่องจากเซเดส์นำกรอบของนักรัฐศาสตร์มาใช้กับวิธีการทางประวัติศาสตร์ศิลปะโดยมิได้คำนึงว่าพื้นฐานการสร้างสรรค์รูปแบบต่าง ๆ ของศิลปะไทยนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพุทธศาสนา รูปแบบของพุทธศิลป์จะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อความศรัทธาในลัทธิของศาสนาเปลี่ยนไปไม่เกี่ยวกับการเกิดและสิ้นสุดของอาณาจักรทางการเมือง ดังนั้น การกำหนดชื่อแบบศิลปะเป็นชื่ออาณาจักรนั้นควรจะต้องมีการทบทวนกันใหม่และที่สำคัญที่สุดคือนักประวัติศาสตร์ศิลปะละเลยประเด็นที่ว่าโบราณสถานนั้นมีการซ่อมอยู่เสมอ บางครั้งการซ่อมอาจคงรูปเดิมไว้ได้ แต่ในบางกรณีที่ไม่สามารถรักษารูปแบบเดิมไว้ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบใหม่ การกำหนดอายุจึงต้องกำหนดจากสิ่งที่เห็นในปัจจุบันหรือจากการบูรณะครั้งล่าสุดไม่ใช่กำหนดจากข้อความที่ปรากฏในจารึก ตำนาน พงศาวดาร หรือเอกสารอื่น ๆ ที่กล่าวถึงโบราณวัตถุสถานในช่วงที่เริ่มสร้างและยังไม่มีการบูรณะ หรืออีกนัยหนึ่งคือควรกำหนดอายุโบราณสถานด้วย “วิธีการทางประวัติศาสตร์ศิลปะ” ซึ่งได้แก่การเปรียบเทียบรูปแบบศิลปะที่จะศึกษากับศิลปกรรมที่มีลักษณะใกล้เคียงกันซึ่งศิลปกรรมที่นำมาใช้ศึกษาเปรียบเทียบนี้ต้องมีอายุเวลาที่แน่นอนแล้ว ประกอบกับต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของผลการศึกษาที่ได้กับหลักฐานประเภทอื่น ๆ เช่น หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ผ่านกระบวนการวิพากษวิธีแล้วหรือใช้วิธีการทางโบราณคดีมาทดสอบ เป็นต้น จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่ลงตัวที่สุด
ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับสถูปทั้งสององค์ในวัดจามเทวี จังหวัดลำพูน ในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดอายุเวลาของสถูปทั้งสององค์ และเป็นตัวอย่างของการศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะด้วยวิธีการดังกล่าวข้างต้น
ผลจากการศึกษาพบว่า สถูปสี่เหลี่ยมในวัดจามเทวีได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบของส่วนยอดสถูปมาจากยอดของสถูปรายองค์หนึ่งของวิหารมหาโพธิที่พุทธคยาในประเทศอินเดียในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 20 (ต้นคริสตศตวรรษที่ 15) โดยใช้หลักฐานคือแบบจำลอง (model) ของสถูปรายที่วิหารมหาโพธิซึ่งพบในประเทศจีน แบบจำลองนี้มีจารึกว่าสร้างขึ้นในรัชกาลของกษัตริย์พระนามว่า Yongle ในราชวงศ์หมิง ซึ่งรัชสมัยของ Yongle คือ พ.ศ. 1946-1967 (ค.ศ. 1403-1424)
การตกแต่งด้วยปูนปั้นประดับซุ้มคูหาของสูปสี่เหลี่ยมในวัดจามเทวีนั้นได้รับการซ่อมแซมในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 22 ถึง กลางพุทธศตวรรษที่ 23 (กลางคริสตศตวรรษที่ 17)และมาบูรณะอีกครั้งหนึ่งในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 23 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 (กลางคริสตศตวรรษที่ 18)
ส่วนสถูปแปดเหลี่ยมในวัดจามเทวีนั้นมีความสัมพันธ์ด้านรูปแบบกับสถูปในภาคกลางที่มีอายุเวลาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 22 ถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 23 (ต้นคริสตศตวรรษที่ 17 ถึงต้นคริสตศตวรรษที่ 19) ซึ่งการรับและการถ่ายทอดรูปแบบทางศิลปกรรมนี้อาจเนื่องมาจากในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 20 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 21 (ต้นคริสตศตวรรษที่ 15) เป็นต้นมาอาณาจักรล้านนาและอยุธยามีปฏิสัมพันธ์กันในหลายด้าน ทั้งด้านศาสนา การเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลต่อการถ่ายทอดรูปแบบทางศิลปกรรมต่อกันโดยปริยาย
บทสรุปของวิทยานิพนธ์ฉบับนี้คือ จากที่แต่เดิมเคยเข้าใจว่าแบบศิลปะที่เรียกว่า “สกุลช่างหริภญชัย” มีอายุเวลาอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 (กลางคริสตศตวรรษที่ 11 ถึงปลายคริสตศตวรรษที่ 13) และต้นแบบของศิลปะสกุลช่างนี้คือรูปแบบและงานปูนปั้นที่ปรากฏที่สถูปทั้งสององค์ในวัดจามเทวี จังหวัดลำพูนนั้น หลังจากได้ทำการศึกษาวิจัยวิทยานิพนธ์ฉบับนี้แล้วทำให้ผู้ศึกษาเห็นว่าควรมีการพิจารณากันใหม่ในประเด็นของการกำหนดอายุเวลา ส่วนในด้านรูปแบบของสถูปนั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของ รูปแบบสถูปในอาณาจักรล้านนาในสมัยพระเจ้าติโลกราช