วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต ปี 2543
นัยทางการเมืองของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแต่งงาน ในสาธารณรัฐประชาชนจีน : ค.ศ. 1949-1980
โดย ไพศาล สิทธิลิขิต
ดาวน์โหลดได้ที่ https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:117416
บทคัดย่อ
ในช่วงเริ่มต้นการปกครองสมัยคอมมิวนิสต์รัฐบาลจีนมิได้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเท่านั้น แต่รัฐบาลต้องการเปลี่ยนแปลงถึงระดับโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมด้วย ครอบครัวซึ่งนับว่าเป็นรากฐานของสังคมในมุมมองของรัฐบาลมองว่า เป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติสังคมไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ เนื่องจากระบบครอบครัวจีนที่สืบทอดมายาวนานนับพันปีมุ่งที่จะหล่อหลอมสมาชิกให้มีความจงรักภักดีต่อครอบครัวมากกว่านโยบายพรรคหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมุ่งที่จะหล่อหลอมสมาชิกให้มีความรู้สึกตระกูลนิยม (Claninsm) มากกว่าชาตินิยม(Nationalism)
ขนาดของครอบครัวจัดว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความแข็งแกร่งของระบบครอบครัวขยาย เพราะครอบครัวจีนจะพยายามรวบรวมจำนวนสมาชิกให้มาอยู่ร่วมกันให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถกระทำได้ ลักษณะของครอบครัวจีนจึงขยายขนาดตัวเองขึ้นตลอดเวลาและสมาชิกทุกคนจะต้องให้ความเคารพเชื่อฟังต่อผู้อาวุโสกว่าโดยเฉพาะผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดในครอบครัวจะเป็นที่เคารพยำเกรงอย่างยิ่งสำหรับสมาชิก ทุก ๆ คน การแต่งงานจัดเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้สืบสานครอบครัวให้ขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ โดยหัวหน้าครอบครัวจะคัดเลือกสตรีที่สามารถควบคุมให้อยู่ภายใต้โอวาทและกฎเกณฑ์ของครอบครัวมาเป็นสมาชิกใหม่ การแต่งงานจึงต้องกำหนดโดยหัวหน้าครอบครัวมิใช่เรื่องของหนุ่มสาวสองคน ซึ่งมีผลทำให้รูปแบบการแต่งงานมีวิธีเดียวคือการใช้ระบบคลุมถุงชน
ภายใต้กรอบความคิดดังกล่าวทำให้การดำเนินนโยบายด้านต่าง ๆ ของพรรคมักเกิดอุปสรรคขึ้นเมื่อนโยบายของพรรคขัดแย้งกับความต้องการของหัวหน้าครอบครัว ผลของความขัดแย้งดังกล่าวสมาชิกมักจะเลือกที่จะทำตามความประสงค์ของหัวหน้าครอบครัวมากกว่า เพราะตามหลักคำสอนของขงจื๊อ ชาวจีนถือว่าความจงรักภักดีผูกพันอย่างลึกซึ้งที่ทุกคนมีต่อครอบครัวถือเป็นคุณธรรมอันประเสริฐสูงสุด สมาชิกทุกคนจึง ครอบครัวขยายสู่ลูกหลายเพื่อเสริมสร้างให้ครอบครัวมีฐานะและเกียรติยศสูงขึ้น
จากความขัดแย้งระหว่างอิทธิพลของครอบครัวกันอิทธิพลของอำนาจรัฐบาล ทำให้รัฐบาลมองว่าหากจะดำเนินการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ได้นั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงระบบครอบครัวก่อน เพื่อเป็นการสร้างพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจให้มีความพร้อมก่อนที่จะดำเนินนโยบายด้านต่าง ๆ ต่อไม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงระบบครอบครัวนี้มิอาจที่จะกระทำเพียงเปลี่ยนแปลงด้านรูปแบบเท่านั้น แต่จะต้องเปลี่ยนแปลงถึงระบบความคิดประชาชนที่มีต่อครอบครัวด้วยจึงจะลัมฤทธิ์ผลได้ตามความประสงค์ของรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงที่กล่าวถึงนี้ก็คือการเปลี่ยนระบบครอบครัวขยายที่มีอยู่ให้อ่อนอิทธิพลลงและสร้างครอบครัวเดี๋ยวขึ้นแทน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความจงรักภักดีของสมาชิกที่มีต่อหัวหน้าครอบครัวและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของระบบครอบครัว
ขั้นตอนที่รัฐบาลนำมาใช้เพื่อสลายครอบครัวขยายให้หมดไปนั้นอาศัยวิธีการหลายด้าน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแต่งงานก็นับเป็นวิธีการหนึ่งเพราะหากตราบใดที่ยังคงปล่อยให้มีระบบคลุมถุงชน การแต่งงานก็จะมุ่งเป้าหมายที่ประเด็นสำคัญสองสิ่งคือ การมีผู้สืบทอดวงศ์ตระกูล และการสร้างอิทธิพลของพ่อแม่ให้บุตรและสะใภ้อยู่ใต้โอวาทตลอดไป ในมุมกลับกันหากคู่สมรสได้แต่งงานกับคนรักที่ตนเลือก ภายหลังการแต่งงานมักจะมีแนวคิดโน้มเอียงไปในทางเดียวกันมากกว่าการเชื่อฟังโอวาทของพ่อแม่
ดังนั้นจึงสามารถกล่าวสรุปได้ว่าหัวใจสำคัญของการอาศัยประโยชน์จากระบบการแต่งงานนั้นในสมัยจารีตใช้ระบบคลุมถุงชนเพื่อเสริมสร้างอิทธิพลของครอบครัวให้มีความเข้มแข็งเป็นเอกภาพมากขึ้น แต่การใช้ระบบเลือกคู่โดยเสรีมีจุดมุ่งหมายเพื่อสลายอิทธิผลของครอบครัวที่ครอบงำความคิดและพฤติกรรมของสมาชิกที่จงรักรักดีต่อครอบครัวให้สลายไป โดยรัฐบาลต้องการให้การแต่งงานเป็นเรื่องของสหายสองคนที่รักใคร่ชอบพอกันตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่ออุทิศตนและเสียสละเมื่อประเทศชาติแทน