วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต ปี 2545
อำนาจขององค์ความรู้ในงานวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีเขมรในประเทศไทย
โดย กรณรงค์ เหรียนระวี
ดาวน์โหลดได้ที่ https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:116452

บทคัดย่อ

         วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะอธิบายกระบวนการการสร้างองค์ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีเขมรในประเทศไทย ตั้งแต่ปลายคริสศตวรรษที่ 19 จนถึง ปัจจุบัน โดยมีกรอบการอธิบายถึงกระบวนการสร้างความรู้ การใช้โครงเรื่อง และรูปแบบการอธิบายความรู้ในการสื่อถึงอุดมการณ์ความคิดในงานเขียนทางวิชาการ ตลอดจนอธิบายถึงการปฏิบัติการทางวาทกรรม และการต่อสู้ขององค์ความรู้ทางด้านศิลปะเขมรในประเทศไทย
          จากการศึกษาพบว่า กระบวนการสร้างองค์ความรู้ทางด้านศิลปะเขมรไทยเริ่มขึ้นในช่วงปลายคริสศตวรรษที่ 19 โดยนักวิชาการในสังกัดของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ ได้ทำการสำรวจและเขียนรายงานการสำรวจโบราณสถานเขมร เพื่อการจัดเก็บข้อมูลเบื้องต้น รายงานการสำรวจโบราณสถานเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างความรู้ งานเขียนดังกล่าวเริ่มมีการวางโครงเรื่อง และมีรูปแบบการอธิบายความรู้โดยเน้นการอธิบายลักษณะรายละเอียดของศิลปะเพื่อสื่อ ถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของอารยธรรมเขมร
          ต่อมานักวิชาการสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศได้ทำการจัดหมวดหมู่รูปแบบศิลปะเขมร การจัดระบบความรู้คังกล่าวส่งผลให้การวางโครงเรื่องและรูปแบบการอธิบายความรู้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยการวางโครงเรื่องเปลี่ยนเป็นโครงเรื่องแบบโศกนาฏกรรม และรูปแบบการอธิบายได้เพิ่มการอธิบายแบบกระบวนการเพื่ออธิบายถึงกระบวนการความสัมพันธ์ของรูปแบบศิลปะที่มีกระบวนการเริ่มต้น เจริญ เสื่อม และสิ้นสุด ซึ่งสัมพันธ์กับโครงเรื่องประวัติศาสตร์อารยธรรมเขมร ที่มีจุดสิ้นสุดที่ความเสื่อมของอารยธรรม ดังนั้น โครงเรื่องและรูปแบบการอธิบายความรู้ทางด้านศิลปะเขมรจึงมีความสัมพันธ์กับแก่นขอเรื่องคือ ศิลปะเขมรกับบริบทการเมือง โดยนักวิชาการฝรั่งเศสใช้เป็นหลักอธิบายจากพื้นฐานข้อมูลด้านศิลปโบราณสถานเขมรและหลักฐานลายลักษณ์อักษร
         ในปัจจุบัน รูปแบบการอธิบายความรู้ด้านศิลปะเขมรของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพา ทิศเปลี่ยนไปจากเติม การเพิ่มรูปแบบการอธิบายอิงคู่กับบริบทเพื่ออธิบายเสริมความรู้ทางวิชาการให้แข็งแกร่งขึ้นในปัจจุบัน
         ในช่วงต้นคริสศตวรรษที่ 20 ชนชั้นนำไทยได้รับกรอบความคิดตะวันตกเข้ามาสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับอดีตของตนเอง เพื่ออธิบายถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ซึ่งชนชั้นนำไทยได้สร้างองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะไทยขึ้น เพื่ออธิบายความสืบเนื่องของกระบวนการ ศิลปะไทย โดยการจัดระบบเค้าโครงยุคสมัยทางศิลปะไทยตั้งแต่สมัยศิลปะของอาณาจักรของชนชาติอื่น ๆ ในประเทศไทย เช่น มอญ เขมร เป็นต้นมาจนถึงสมัยศิลปะไทยในยุคสมัยชนชาติไทยปกครองดินแดนประเทศไทยแล้ว การวางโครงเรื่องความดั่งกล่าวอยู่ในรูปแบบการอธิบายแบบสุขนาฏกรรมและแบบกระบวนการ เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของรูปแบบยุคสมัยทาง ศิลปะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ศิลปะเขมรในประเทศไทยถูกอธิบายว่าเป็นศิลปะลพบุรี และจัดเป็นองค์ประกอบหนึ่งของกระบวนการศิลปะไทย
         กระบวนการสร้างความรู้ดังกล่าวสืบทอดมายังนักวิชาการของคณะโบราณกดีมหาวิทยาลัยศิลปากร และกรมศิลปากร ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองด้วย นักวิชาการไทยได้อธิบายแก่นเรื่องอธิบายความรู้เรื่องความสัมพันธ์ของศิลปะกับการเมือง โดยเพิ่มรูปแบบการอธิบายแบบอิงอยู่กับการแบ่งยุคสมัยศิลปะเขมรของนักวิชาการฝรั่งเศสเพื่อให้ความรู้กระแสหลักแข็งแกร่งขึ้น ในปัจจุบัน นักวิชาการไทยได้อธิบายความรู้ทางด้านศิลปโบราณคดี โดยอธิบายอิงบริบททางวัฒนธรรมซึ่งสัมพันธ์กับอำนาจทางการเมืองและเรียกรูปแบบศิลปะว่า"ศิลปะร่วมแบบเขมรในประเทศไทย"
         การสร้างความรู้เรื่องศิลปะในวัฒนธรรมร่วมแบบเขมรที่มีการอธิบายอิงบริบท ถึงความเป็นเอกลักษณ์ของดินแดนประเทศไทยในต้านต่าง ๆ ส่งผลให้ศิลปะร่วมแบบเขมรมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของรูปแบบศิลปะเขมรในประเทศไทย และกลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของกระบวนการ ศิลปไทย
         หลัง พ.ศ.2510 วงการโบราณคดี และประวัติศาสตร์ศิลปะ เกิดองค์ความรู้แนวทวนกระแสขึ้น โดยวางโครงเรื่องทั้งแบบสุขนาฏกรรมและโศกนาฏกรรมในการอธิบายกระบวนการทางศิลปวัฒนธรรมต่างกันออกไป โดยแก่นเรื่องอยู่ที่การอธิบายศิลปะกับวัฒนธรรม โดยตัดบริบททางการเมืองออกไป ดังเช่น ในองค์ความรู้ทางด้านโบราณคดีแบบทวนกระแสอธิบายศิลปะลพบุรีในฐานะส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเขมร ไม่ใช่อำนาจทางการเมืองของอาณาจักรเขมร และองค์ความ รู้แบบทวนกระแสพยายามจัดเค้าโครงยุคสมัยศิลปะไทยใหม่ โดยอิงกับกลุ่มชนวัฒนธรรมและศาสนาเป็นกรอบในการอธิบายความรู้
         ในช่วงเวลาเดียวกัน รัฐไทยได้สร้างองค์ความรู้ พร้อมกับการปฏิบัติการทางวาทกรรมกระแสหลัก ผ่านทางพื้นที่ของสถาบันทางวัฒนธรรม เช่น พิพิธภัณฑ์ และการท่องเที่ยว เพื่อตอกย้ำวาทกรรมประวัติศาสตร์ของรัฐ ในการอธิบายทางประวัติศาสตร์แก่คนในสังคมให้ยอมรับความเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย
         องค์ความรู้มีกรอบความคิดในการอธิบายความรู้ต่างกันนี้ ย่อมมีการใช้อำนาจผ่านการอธิบายความรู้เพื่อทำให้ความรู้ฝ่ายตรงข้ามไม่น่าเชื่อถือ ดังเช่น วิวาทะในองค์ความรู้ทางด้าน ศิลปะเขมรในประเด็นของการอธิบายบริบทของศิลปะเขมรกับการเมืองหรือวัฒนธรรม และวิวาทะองค์ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะในประเด็นของกรอบเค้าโครงยุคสมัยทางศิลปะที่สื่อถึงแก่นเรื่องของการอธิบายศิลปะ วิวาทะเหล่านี้เป็นผลมาจากความแตกต่างกันทางกรอบความคิดและกรอบการอธิบายความรู้ในงานวาทกรรมนั้นเอง