วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต ปี 2546
บทบาทขบวนการนักศึกษาอินโดนีเซียกับการสิ้นสุดอำนาจของ ประธานาธิบดีซูฮาร์โต
โดย อรอนงค์ ทิพย์พิมล
ดาวน์โหลดได้ที่ https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:115793

บทคัดย่อ

          วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาบทบาทของขบวนการนักศึกษาอินโดนีเซียที่มีต่อการสิ้นสุดอำนาจของประธานาธิบดีซูฮาร์โตในปี 1998 โดยจะย้อนไปศึกษาถึงภูมิหลังการเกิดขึ้นของขบวนการนักศึกษาอินโดนีเซียตั้งแต่สมัยอาณานิคมจนได้รับเอกราช, ยุคประธานาธิบดีซูการ์โนจนถึงยุค “ระเบียบใหม่” ของประธานาธิบดีซูฮาร์โต เพื่อจะเข้าใจสภาพโดยรวมและพัฒนาการของขบวนการนักศึกษาอินโดนีเซีย
          จากการศึกษาพบว่า ความเป็นนักศึกษาอินโดนีเซียนั้น เกิดจากการดำเนินนโยบายของเนเธอร์แลนด์ต่อประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านการศึกษา ที่ทำให้เกิดกลุ่มคนพื้นเมืองที่ได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่ขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้ได้รวมกลุ่มกันก่อตั้งองค์กรต่าง ๆ ขึ้นทั้งในดินแดนหมู่เกาะอินดีสตะวันออกและในประเทศเจ้าอาณานิคม
          หลังสงครามโลกครั้งที่สองกลุ่มคนหนุ่มซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาได้มีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องเอกราชจากเจ้าอาณานิคม และสนับสนุนซูการ์โนเป็นประธานาธิบดีคนแรกของอินโดนีเซีย แต่เมื่อเห็นว่าประธานาธิบดีซูการ์โนดำเนินนโยบายในการบริหารประเทศผิดพลาด กลุ่มคนหนุ่มและนักศึกษาได้ร่วมมือกับทหารโค่นล้มอำนาจของซูการ์โน และสนับสนุนซูฮาร์โตสถาปนาระบอบ “ระเบียบใหม่” ขึ้นมาแทน
          ขบวนการนักศึกษาในสมัยประธานาธิบดีซูฮาร์โตนั้น สามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า มีพัฒนาการดังนี้ คือในช่วงต้น “ระเบียบใหม่” นักศึกษาให้การสนับสนุนประธานาธิบดีซูฮาร์โตในการขึ้นสู่อำนาจ โดยร่วมมือเป็นพันธมิตรกับกองทัพ แต่หลังจากปี 1974 ที่นักศึกษาต่อต้านการที่รัฐบาลเน้นนโยบายการพัฒนา โดยอิงกับทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปั่น เหตุการณ์จลาจลมาลารี ทำให้นักศึกษาแตกหักกับประธานาธิบดีซูฮารโต ซูฮาร์โตเริ่มคุมนักศึกษาอย่างเข้มงวดโดยการออกกฎหมายควบคุมกิจกรรมทางการเมืองของนักศึกษาและกฎหมายควบคุมองค์กรนัก ศึกษา ผลคือนักศึกษาต้องหันไปหาทางออกอื่นแทน ได้แก่การเข้าไปช่วยแก้ปัญหาชาวบ้านในระดับท้องถิ่น โดยร่วมมือกับกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนและการจัดตั้งกลุ่มอภิปรายขึ้นในมหาวิทยาลัย
          ในยุคระเบียบใหม่นั้นมีการควบคุมการแสดงออกทางการเมืองอย่างเข้มงวดมาก ทำให้กลุ่มต่าง ๆ อ่อนแอลง ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง, กลุ่มศาสนาอิสลาม และองค์กรพัฒนาเอกชน ดังนั้นนักศึกษาจึงกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทเด่นที่สุดเนื่องจากว่ากลุ่มต่าง ๆ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษ 1990 ที่ขบวนการนักศึกษาได้พื้นฟูขึ้นจากการเข้าไปเคลื่อนไหวช่วยเหลือชาวบ้าน และซูฮาร์โตเองได้เสนอให้มี “ความเปิด” ขึ้นในอินโดนีเซียเพื่อลดกระแสแรงกดดันจากภายนอกประเทศ นักศึกษาและกลุ่มอื่น ๆ ได้ใช้ประโยชน์จากบริบททางการเมืองดังกล่าว
          อย่างไรก็ตาม ขบวนการนักศึกษาในปี 1998 จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ หากไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1997 ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่กัดเซาะอำนาจประธานาธิบดีซูฮาร์โตนอกจากนี้บทบาทของกองทัพและผู้นำทางการเมอองก็ส่งผลกระทบที่สำคัญเช่นกันต่อขบวนการ นักศึกษาในปี 1998
          ในประวัติศาสตร์การเมืองอินโดนีเซีย จะเห็นได้ว่าผู้มีอำนาจในทางการเมืองใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือมาโดยตลอด ในขณะเดียวกันนัก ศึกษาก็ต้องการการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจเช่นกัน ในช่วงการล้มล้าง "ระเบียบเก่า" นักศึกษาถูกกลุ่มทหารและซูฮาร์โตใช้เป็นเครื่องมือ แต่แล้วหลังปี 1974 ระบอบ "ระเบียบใหม่" ก็หันมาเล่นงานนักศึกษาแทน และกลุ่มทหารไม่หนุนหลังเป็นพันธมิตรดังเช่นในปี 1966 อีก จนกระทั่งในปี 1998 กลุ่มผู้นำทหารบางกลุ่มก็ใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือในการล้มอำนาจประธานาธิบดีซูฮาร์โต แต่รูปแบบการให้ความสนับสนุนแตกต่างจากปี 1966 มาก
          หลังการลาออกของซูฮาร์โต กลุ่มต่าง ๆ ทางสังคมเริ่มมีบทบาทมากขึ้นและไม่ต้องอิง กับขบวนการนักศึกษาอีกต่อไป เกิดพรรคการเมืองใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย, องค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆเริ่มสร้างความเข้มแข็งขึ้น และกลุ่มศาสนาอิสลามก็แยกตัวออกไป ดังนั้นขบวนการนักศึกษาจึงไม่มีบทบาทเด่นเช่นเดิม นอกจากนี้ทหารก็ไม่สนับสนุนขบวนการนักศึกษาอีก
          อย่างไรก็ตาม ประเทศอินโดนีเซียนั้นประวัติศาสตร์ของชาติมีความผูกพันอย่างลึกซึ้ง กับ "กลุ่มคนหนุ่ม(สาว)" ตั้งแต่การเรียกร้องเอกราชจากประเทศเจ้าอาณานิคม ดังนั้นไม่ว่านัก ศึกษาในรุ่นหลัง ๆ จะมีบทบาทในการเคลื่อนไหวทางการเมืองจริง ๆ หรือไม่ก็ตาม แต่ภาพของความเป็น "hero" ของขบวนการนักศึกษายังทำให้คนอินโดนีเซียคาดหวังว่า นักศึกษาอินโดนีเซียจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง