วิทยานิพนธ์ระดับปรัชญาดุษฎีบัณฑิต ปี 2565
โทรเลขกับการรวมศูนย์อำนาจของรัฐในสมัยรัชกาลที่ 5
โดย วิภัส เลิศรัตนรังษี
ดาวน์โหลดได้ที่ https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:306900

บทคัดย่อ

          วิทยานิพนธ์นี้ต้องการแสดงให้เห็นว่าโทรเลขเป็นสิ่งจำเป็นต่อกระบวนการรวมศูนย์อำนาจของรัฐในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงได้กำหนดวิธีการศึกษาเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการศึกษา “แรงจูงใจ” ว่าทำไมกรุงเทพฯ ถึงตัดสินใจปรับปรุงการสื่อสารด้วยการใช้งานโทรเลข โดยจะแสดงให้เห็นว่าระบบใบบอกท้องตราที่ใช้อยู่ในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 มีปัญหาอย่างไร และโครงการโทรเลขถือกำเนิดขึ้นมาด้วยจุดประสงค์อะไร ส่วนที่สองจะเป็นการอธิบายว่าทำไมเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานโทรเลขถึงตอบโจทย์การรวมศูนย์อำนาจของรัฐในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยจะแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่การกำหนดเส้นทาง การก่อสร้าง จนไปถึงการบำรุงรักษาเสาสายโทรเลขได้สร้างเงื่อนไขให้ชนชั้นนำที่กรุงเทพฯ เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปการปกครองทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างไร ตลอดจนแสดงให้เห็นว่าการร่นระยะเวลาการสื่อสารด้วยโทรเลขที่เกิดขึ้นตลอดทั้งรัชกาลจะส่งผลต่อการใช้อำนาจของรัฐอย่างไร
          เมื่อทำการศึกษาแล้วก็พบว่า ความล่าช้าของการสื่อสารด้วยใบบอกเกิดจากการที่ใบบอกมักไปหยุดพักอยู่ตามศาลากลางของเมืองต่างๆ มากกว่าที่จะเดินทางเพื่อนำส่งไปยังกรุงเทพฯ ในทันที ซึ่งความล่าช้านี้มีสาเหตุมาจากระบบการปกครองหัวเมืองมากกว่าระยะทางที่ห่างไกลหรือขีดจำกัดการเดินทางอย่างที่อธิบายกัน
          ส่วนการเกิดขึ้นของโครงการโทรเลขจะมาจากแรงจูงใจ 2 ประการ ประการแรกคือความต้องการจะติดต่อกับเจ้าอาณานิคมที่อยู่รอบข้าง ทำให้เกิดโครงการโทรเลขระหว่างประเทศขึ้นมา 3 เส้นทาง ประการที่สองคือความต้องการจะติดต่อกับข้าหลวงใหญ่และข้าหลวงเทศาภิบาลในหัวเมือง ทำให้เกิดโครงการโทรเลขภายในประเทศขึ้นมา 14 เส้นทาง แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้มีแต่รัฐที่ต้องการใช้เทคโนโลยีหรือโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่เป็นเครื่องมือเท่านั้น แต่เทคโนโลยีหรือโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ก็เรียกร้องการบริหารแบบรัฐสมัยใหม่ด้วยเช่นกัน พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงโยกย้ายกรมโทรเลขในสังกัดของสมุหพระกลาโหมให้มาขึ้นตรงกับพระองค์เองในปี 2424 เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความขัดกันระหว่าง “อำนาจตามหน้าที่” กับ “อำนาจตามพื้นที่” ที่ขัดขวางการทำงานของกรมโทรเลข เช่นเดียวกับการวางสายโทรเลขออกไปยังหัวเมืองก็มอบหมายให้ข้าหลวงใหญ่และข้าหลวงเทศาภิบาลซึ่งเป็นกลไกที่กรุงเทพฯ ใช้ในการรวบอำนาจหัวเมืองเข้าสู่ศูนย์กลางเป็นผู้รับผิดชอบ
          นับตั้งแต่ปี 2420 เป็นต้นไป โครงการโทรเลขจะกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กรุงเทพฯ เข้าไปกระชับอำนาจปกครองจากหัวเมืองห่างไกลได้โดยตรง เช่น การคาดโทษหรือปลดเจ้าเมืองที่ไม่ให้ความร่วมมือ การเฆี่ยนกรมการเมืองที่ไม่ยอมส่งมอบแรงงานให้ครบตามคำสั่ง ตลอดจนการข่มขู่และขูดรีดทรัพยากรจากเจ้าประเทศราชเพื่อมาสร้างทางโทรเลข
          การใช้งานโทรเลขยังส่งผลให้การเมืองการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 แตกต่างไปจากยุคสมัยก่อนหน้า เพราะความเร็วของโทรเลขสามารถร่นระยะเวลาการสื่อสารจากเดิมได้ถึงร้อยละ 99 ซึ่งนอกจากจะทำให้การเมืองระหว่างประเทศเข้มข้นขึ้นเพราะการสื่อสารข้ามทวีปเกิดขึ้นในเวลาอันสั้นแล้ว การปกครองส่วนภูมิภาคที่เคยทำได้เพียงตอบสนองไปตามสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเป็นการควบคุมและสั่งการโดยตรงถึงหัวเมืองแบบร่วมเวลาจริง (real time) บรรดาข้าหลวงเทศาภิบาลที่ไม่กล้าตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ก็มีโทรเลขมาขอรับนโยบายจากกรุงเทพฯ ได้ตลอดเวลา ส่วนเครือข่ายโทรเลขที่สร้างออกไปเชื่อมต่อกับหัวเมืองไม่เพียงจะแสดงให้เห็นมิติของการขยายอำนาจในเชิงพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถในการผูกขาดความรุนแรงภายในพระราชอาณาเขตขึ้นมาอีกด้วย
          แต่สำคัญที่สุดคือเครือข่ายโทรเลขที่เชื่อมโยงกันทั้งภายในและระหว่างประเทศ จึงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พระเจ้าอยู่หัวจะทรงใช้อำนาจเหนือดินแดนได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะในขณะนี้ พระองค์สามารถออกคำสั่งจากที่ใดเวลาใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องประทับอยู่ในกรุงเทพฯ หรือภายในประเทศก็ตาม จากที่กล่าวไปทั้งหมดจึงสรุปได้ว่า โทรเลขเป็นสิ่งจำเป็นต่อกระบวนการรวมศูนย์อำนาจของรัฐที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5