NONFICTION
The Sakura Obsession โดย Naoko Abe. Vintage Books. New York, 2020, 380 หน้า
แนะนำโดย นิภาพร รัชตพัฒนากุล
เผยแพร่เมื่อ 16 สิงหาคม 2564
![]() |
![]() |
The Sakura Obsession (2020) โดย Naoko Abe สารคดีชีวประวัติของ Collingwood Ingram คหบดีชาวอังกฤษที่หลงใหลในเสน่ห์ของซากุระ แปลมาจากหนังสือภาษาญี่ปุ่นเรื่อง チェリー・イングラム――日本の桜を救ったイギリス人 หรือ ‘Cherry’ Ingram: The English Saviour of Japan’s Cherry Blossoms (2016) ของสำนักพิมพ์อิวะมิ โดยฉบับพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นได้รับรางวัล Japan Essayist Club Award ปี 2016
Collingwood Ingram (ค.ศ.1880-1981) เป็นหลานของผู้ก่อตั้ง Illustrated London News นิตยสารเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ ในวัยหนุ่มอินแกรมใช้เวลาไปกับงานอดิเรกคือการดูนก ต่อเมื่อภายหลังเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 อินแกรมในวัยกลางคนจึงเปลี่ยนความสนใจจากนกมาเป็นซากุระ โดยสร้างสวนซากุระขึ้นภายใน The Grange บ้านพักของเขาใน Benenden ทางตะวันออกเฉียงใต้ของลอนดอน เพื่อใช้เป็นสถานที่รวบรวมซากุระพันธุ์หายากและผสมซากุระพันธุ์ใหม่ โดยเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมปีละครั้งตั้งแต่ทศวรรษ 1920 เนื่องจากอินแกรมมีอายุยืนถึง 100 ปี ทำให้การเล่าชีวประวัติของเขาที่เชื่อมโยงกับความหลงใหลในซากุระนั้นสะท้อนภาพของซากุระในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่ไปพร้อมกันด้วย
Naoko Abe แบ่งเรื่องเล่าออกเป็น 55 ตอน โดยเรียงลำดับไปตามช่วงชีวิตของอินแกรมตั้งแต่วัยเด็กที่ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน กำลังเป็นที่ฮือฮา และเขายังสามารถเฝ้ามองธรรมชาติเหล่านั้นได้ที่บ้านพักตากอากาศที่ Westgate-on-Sea เมืองตากอากาศริมทะเลที่ยังไม่ประสบปัญหามลพิษแบบลอนดอน วัยหนุ่มของเขาสะท้อนวิถีชีวิตของลูกหลานคหบดีอังกฤษที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงานอดิเรก ซึ่งการตามล่าหาพันธุ์พืชและสัตว์ตามดินแดนบุกเบิกใหม่ทั่วโลก เพื่อชื่นชมความงามของธรรมชาติไปพร้อมกับการแสดงความรู้ตามแนววิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งในงานอดิเรกและการเข้าสมาคมซึ่งเป็นที่นิยมในขณะนั้น ในช่วงชีวิตนี้เองที่อินแกรมเดินทางไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในปี 1902 และครั้งที่ 2 ปี 1907 โดยครั้งที่สองมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บข้อมูลพันธุ์นกโดยเฉพาะ
ความสนใจเรื่องนกของอินแกรมลดน้อยลงภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Naoko Abe มองว่าอาจเกิดจากวิกฤตวัยกลางคนที่อินแกรมต้องการสร้างตัวตนให้เป็นที่ยอมรับนับถือทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง เขาจึงเริ่มมองหาความสนใจใหม่โดยมุ่งไปที่พืชที่ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญในสังคมอังกฤษ ประจวบกับการซื้อ The Grange ต่อจากนักธุรกิจเหล็กและอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นที่อยู่ใหม่ของครอบครัว เจ้าของเดิมปลูกซากุระหรือ Cherry blossom / Japanese cherry ต้นเชอร์รี่ชนิดที่ปลูกสำหรับประดับตกแต่งแต่ไม่มีผลให้เก็บกินไว้ในสวน และซากุระสองต้นนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญซากุระ
อินแกรมหาความรู้เกี่ยวกับซากุระโดยเริ่มจากการเดินทางไปเยี่ยมชมสวนของคหบดีอังกฤษที่นิยมซากุระมาก่อนซึ่งในตอนนั้นยังมีไม่มากนัก หนึ่งในนั้นคือสวนที่ East Sussex ของภรรยาทนายความที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ด้วยความหลงใหลในเสน่ห์ของซากุระเธอได้ขอให้เพื่อนชาวฝรั่งเศสเป็นธุระจัดหาซากุระพันธุ์หายากจากเอเชียเพื่อนำมาปลูกไว้ในสวนตั้งแต่ปี 1899 เมื่ออินแกรมเดินทางไปเยี่ยมชมในปี 1923 ก็ได้นำซากุระ 4 พันธุ์ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษกลับไปปลูกด้วย หนึ่งในนั้นคือซากุระสีขาวดอกใหญ่กว่าที่พบเห็นได้ทั่วไปซึ่งยังไม่มีชื่อเรียก กระทั่งสหายเชื้อพระวงศ์ชาวญี่ปุ่นของอินแกรมเห็นเข้าจึงตั้งชื่อให้ว่า Taihaku โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเป็นพันธุ์ที่ไม่มีผู้พบเห็นมานานแล้วในญี่ปุ่น
อินแกรมเดินทางไปญี่ปุ่นอีกครั้งในปี 1926 เพื่อเก็บข้อมูลและรวบรวมพันธุ์ซากุระตลอดจนสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญซากุระชาวญี่ปุ่น Naoko Abe ให้ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของสถานที่และผู้คนที่อินแกรมเดินทางไปเยี่ยมชมและพบเจอไว้โดยตลอด จนทำให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมของซากุระในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอย่างชัดเจน สังคมญี่ปุ่นได้สร้างวัฒนธรรมและความสุนทรีเกี่ยวกับซากุระมากว่า 1200 ปี จากซากุระป่าตามธรรมชาติ 10 สายพันธุ์ จนปัจจุบันมีซากุระกว่า 400 พันธุ์ที่เกิดจากการผสมของมนุษย์ เทศกาลชมดอกไม้หรือ ฮะนะมิ เกิดขึ้นครั้งแรกภายในพระราชวังของจักรพรรดิเมื่อปี ค.ศ.812 ซากุระสายพันธุ์ที่นิยมในแต่ละสมัยก็แตกต่างกันไป เริ่มตั้งแต่ Edo-higan ที่มีบันทึกว่าเป็นซากุระป่าสายพันธุ์แรกที่ชาวญี่ปุ่นเริ่มเอามาเพาะเลี้ยง หรือ Yama-zakura สายพันธุ์ซึ่งปลูกบนเขาโยชิโนะซึ่งเป็นจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และเป็นพันธุ์ที่โชกุนสั่งให้ปลูกในพื้นที่สาธารณะของเมืองเอโดะ (โตเกียว)
Naoko Abe บรรยายถึงวิวัฒนาการที่สำคัญของวัฒนธรรมซากุระว่าเกิดขึ้นในหมู่ชนชั้นปกครองและซามุไรในช่วงปิดประเทศระหว่าง ค.ศ.1639-1853 เนื่องจากระบบที่ไดเมียวตระกูลต่างๆ ต้องเข้าเฝ้าโชกุนเป็นประจำ โดยช่วงเวลาที่ไม่ได้เข้าเฝ้าจะต้องให้ภรรยาหรือลูกอาศัยอยู่ที่เมืองเอโดะเพื่อเป็นหลักประกันความจงรักภักดี ไดเมียวแต่ละตระกูลจึงต้องสร้างบ้านพักของตนที่เอโดะ บ้านพักเหล่านี้จะมีสวนซึ่งมักปลูกซากุระสายพันธุ์ท้องถิ่น แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยภูเขาทำให้มีสภาพอากาศย่อยแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ไล่ระดับไปตามความสูงของภูมิประเทศ ซึ่งมีผลต่อลักษณะและการอยู่รอดของซากุระ ดังนั้นซากุระหลากหลายสายพันธุ์ตามธรรมชาติในท้องถิ่นที่ถูกเคลื่อนย้ายมายังเอโดะจึงต้องถูกดัดแปลงให้เติบโตได้ในสภาพอากาศที่ต่างออกไป อันเป็นที่มาของการเกิดพันธุ์ใหม่จำนวนมากในช่วงเวลากว่าสองศตวรรษนี้
ความหลากหลายนี้เริ่มลดน้อยลงไปเมื่ออินแกรมเดินทางไปสำรวจที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 1926 ซากุระที่พบในญี่ปุ่นในขณะนั้น (จนกระทั่งปัจจุบัน) ส่วนใหญ่คือพันธุ์ Somei-yoshino ซึ่งปลูกง่ายโตเร็ว รัฐบาลจึงสนับสนุนให้ปลูกอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากญี่ปุ่นสามารถเอาชนะรัสเซียในสงครามปี 1905 มีการสั่งให้ปลูกซากุระพันธุ์นี้กระจายไปทั่วประเทศ การขยายตัวของ Somei-yoshino เกิดขึ้นพร้อมไปกับการพัฒนาความหมายของซากุระให้บ่งบอกถึงการเสียสละชีวิตของทหารและความพร้อมเพรียงของประชาชน อินแกรมสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ และพยายามรักษาความหลากหลายของซากุระเอาไว้ เขาเพาะพันธุ์ซากุระหลายชนิดไว้ในสวนที่ The Grange โดยได้พันธุ์มาจากแหล่งต่างๆ แหล่งสำคัญคือบริษัทอังกฤษและญี่ปุ่นซึ่งเริ่มนำซากุระเข้าไปจำหน่ายในอังกฤษบ้างแล้ว เช่น บริษัท Yokohama Nursery ส่วนพันธุ์หายากนั้นเขาจะอาศัยความช่วยเหลือจากเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญซากุระชาวญี่ปุ่นที่ได้ผูกมิตรไว้เมื่อครั้งเดินทางไปสำรวจในปี 1926 การจัดส่งทางเรือในช่วงแรกทำให้ซากุระที่ไปถึงมืออินแกรมมีสภาพไม่สมบูรณ์ เพราะใช้เวลาเดินทางหลายสัปดาห์ผ่านดินแดนที่มีภูมิอากาศร้อน จึงเปลี่ยนเป็นส่งทางรถไฟสายทรานส์ ไซบีเรียซึ่งวิ่งผ่านพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นช่วยยืดอายุหน่อซากุระออกไปได้
นอกจากนั้นอินแกรมยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้ซากุระพันธุ์ Taihaku ได้กลับคืนสู่ญี่ปุ่นอีกครั้ง ความบังเอิญนี้เกิดขึ้นระหว่างที่เขาเดินทางไปสำรวจซากุระในปี 1926 ในครั้งนั้นเขาได้พบกับ Seisaku Funatsu ผู้เชี่ยวชาญซากุระที่นำภาพวาดซากุระสมบัติของตระกูลออกมาให้ดู หนึ่งในนั้นเป็นภาพซากุระที่พบในเกียวโตที่ทวดของเขาวาดไว้เมื่อ 130 ปีก่อน แต่ตัวเขาเองไม่เคยเห็นของจริง เมื่ออินแกรมเห็นภาพแล้วก็จำได้ว่าลักษณะเหมือนกับ Taihaku ที่ปลูกอยู่ในสวนของตนเองที่อังกฤษ จึงนำมาสู่เหตุการณ์การส่งซากุระจากสวนของอินแกรมไปยังญี่ปุ่นซึ่งหน่อทั้งหมดปลูกอยู่ในเกียวโตภายใต้การดูแลของตระกูลผู้เชี่ยวชาญซากุระ โชคดีที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1930 ก่อนที่ความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษและญี่ปุ่นจะเลวร้ายลงในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเกิดขึ้นอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้น
ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อินแกรมในวัยชรายังคงใช้ชีวิตอยู่ที่ The Grange แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้เผชิญกับประสบการณ์เลวร้ายในช่วงระหว่างสงคราม แต่คนใกล้ตัวรวมทั้งชาวอังกฤษจำนวนมากเคยเป็นอดีตเชลยสงครามในค่ายทหารของญี่ปุ่นในเอเชีย Naoko Abe คาดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้หลังสิ้นสุดสงคราม อินแกรมเลือกที่จะปฏิสัมพันธ์หรือทำกิจกรรมเกี่ยวกับซากุระอย่างจำกัด จนกระทั่งทศวรรษ 1950 ความเชี่ยวชาญด้านซากุระของอินแกรมซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการผู้เชี่ยวชาญด้านพืชและสวน (horticulturist) นักล่าพันธุ์พืช (plant hunter) จึงแพร่หลายมากขึ้น เมื่อซากุระกลายเป็นหนึ่งในไม้สวนยอดนิยมของชาวอังกฤษ ที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ริมถนนไปจนถึง Windsor Great Park สวนสวยที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ของราชวงศ์
เรื่องราวของอินแกรมใน The Sakura Obsession เป็นตัวอย่างที่ดีของการวางโครงเรื่องโดยนำชีวประวัติของบุคคลกลับเข้าไปอยู่ในภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับโลก บันทึกส่วนตัวและข้อมูลสัมภาษณ์ช่วยให้งานมีชีวิตชีวาและสะท้อนมิติอารมณ์ความรู้สึกของคนที่เกี่ยวข้องได้ในแบบที่การเขียนแบบวิชาการทำไม่ได้ บรรยากาศรวมของหนังสือถูกจัดไว้โดยไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีไม่ให้ขมหรือหวานจนเกินไป โดยครึ่งเล่มแรกปูพื้นมาตลอดด้วยโลกธรรมชาติที่สวยงามกับชีวิตที่หรูหราของคหบดีอังกฤษ ตามมาด้วยครึ่งหลังของหนังสือที่เนื้อหาชวนหดหู่ด้วยชีวิตของผู้คนในช่วงสงคราม แต่ภาพวาดตลอดจนภาพถ่ายซากุระฝีมืออินแกรมก็ช่วยให้หนังสือกลับมาละมุนละไมได้อีกครั้งในช่วงท้าย หนังสือ Nonfiction ลักษณะนี้มีอยู่มากมายในโลกภาษาอังกฤษและอีกหลายภาษาทั่วโลก เป็นรูปแบบการเขียนอีกแนวที่ยังมีอยู่น้อยมากในโลกหนังสือภาษาไทย (ไม่รวมหนังสือแปลจากภาษาต่างประเทศ) หากผู้สนใจประวัติศาสตร์ค้นคว้าและเรียบเรียงหนังสือแนวนี้มากขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมผู้อ่านวงกว้าง